การคิดถึงตัวเองให้น้อยลง

เริ่มจากมีกระทู้ดราม่า อีตอแหล ชาบู ชาบู เกี่ยวกับเรื่อง เด็กขาดความอดทน ทำให้มี คนไทยชอบแจม เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม จนผมเริ่มก่อดราม่าเล็กๆขึ้น ด้วยคำกำกวมสั้นๆ จนโดนด่าว่า โลกของฉันสวยงาม พอโดนรุมทึ่งมากๆเข้าเลยต้อง สงบปาก สงบคำ ไม่งั้นจะถูกตราหน้าว่า ผมผิดเองที่เกิดมาโง่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมปรารถนาไม่อยากให้สังคมไทยเราทำแบบ ควายหายล้อมรั้ว ทำแบบขอไปที แก้ที่ปลายเหตุ แก้กันไม่จบไม่สิ้น — วันเดียวขุดบทความที่เคยเขียนมาเยอะเลย

เมื่อหมอกควันเริ่มจาง เราจะเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น กับเรื่องราวต่างๆ ที่เกริ่นมาข้างต้น ซึ่งผมเองได้ไปแสดงความคิดเห็นไว้ในกระทู้หนึ่ง เรื่องที่มีเด็กมาด่าผู้ใหญ่ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและดูหยาบคาย?โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะ มีเด็กกลุ่มหนึ่ง เดินขวางถนน จากนั้นมีชายสูงอายุคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซต์มา ผมไม่ทราบว่าไปพูดว่าเด็กอย่างไร แต่คนที่เห็นเหตุการณ์เขาเล่าว่า เด็กมันพูดว่า “ไม่เคยตายหรอ!” อะไรทำนองนี้ จนก่อดราม่า คนรุมด่าเด็กกลุ่มนี้กันอย่างล้นหลาม ว่ามันไม่เหมาะสมอย่างงั้นอย่างงี้ พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน รร.ไม่อบรม สันดงสันดาน บลาๆๆ ด่าแบบว่ามาทุกสรรพสัตว์ ผมเองด้วยความที่เป็นคนไม่สนใจคำด่าใครอยู่แล้ว เลยพร่อยปากไปว่า “ด่าแล้วยังไง?” หมายถึง พอเด็กมันด่าแล้วยังไงต่อวะครับ คือพอมันด่า แล้วก็มาประจาน? มันใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องแล้วหรอ? มันควรจะแก้ที่ บลาๆๆ ผมร่ายยาว ทีนี้ก็มีคนมาก่อดราม่าเพิ่มเติมว่า “ไม่ใช่ตัวเองคงไม่รู้สึก” ผมก็เถียงด้วยเหตุผลของผมเองว่า ผมไม่รู้สึกเพราะผมเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้ใส่ใจในคำด่าใครอยู่แล้ว ก็เลยมีคนหมันใส้ รุมกันใหญ่ บ้างก็บอกว่า ถ้าคุณโดนด่าว่า พ่องตายคุณจะโกรธมั้ย ผมก็ตอบสไตล์ผมว่า จะโกรธทำไม? จนด่าไปเรื่อยๆ คนอื่นในกระทู้คงเริ่มยั๊วะ และมีน้ำโห เริ่มใช้คำหยาบคายกับผมมากขึ้นๆ บ้างก็ว่าผมโลกสวย (ซึ่ง ณ วันนี้ผมเองยังหาคำตอบของคำว่า “โลกสวย” ไม่ได้เสียที ว่าตกลงมันมีความหมายอย่างไรกันแน่นะ 55+)

จากนั้นก็มีสาววัยค่อนคนมาด่าผมไม่หยุด จนมีประโยคหนึ่งที่บอกว่า “ถ้ามึงแน่มาเจอกับพี่กูได้” ทำให้ผมถึงกับอึ้งไปเลย ไม่คิดว่าคนอายุ เกือบ 50 แล้วจะพูดออกมาแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่น่าหดหู่มากในสังคมปัจจุบัน ในขณะที่มีการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ขาใหญ่ ทั้งหลายในสังคม ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง ยังชอบ “อ้างบารมี” กันไม่หยุดหย่อน เมื่อครุ่นคิดก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า “ชีวิตนี้ได้ทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง?” จะต้องพึ่ง หรือ ยืมมือคนอื่นไปทั้งชีวิตเลยหรอ? พอผมเจอแบบนี้เข้าก็เลยต้องสงบปากสงบคำ เพราะรู้แล้วว่าคุยกับคนแบบนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่ากลัว แต่มันหาประโยชน์จากการถกเถียงไม่ได้จริงๆ

ซึ่งเมื่อผมลองกลับมาทบทวนเรื่องนี้ดู ทำให้ผมคิดว่าผมไม่น่าใช้ความคิดเห็นส่วนตัวมากเกินไป มีคนแสดงความคิดเห็นทำนองว่า “ไม่เจอกับตัวเอง ไม่รู้สึก” ก็ใช่ในส่วนหนึ่ง เพราะผมไม่ได้ทำความเข้าใจจุดยืนของคนอื่นให้ถี่ถ้วน มัวแต่สนใจตัวเอง ยึดความคิดตนเองเป็นที่ตั้ง ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ผมจะทำอย่างไร ผมจะมีทางออกและแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งจุดยืนของคนเรามันไม่เหมือนกัน เราต้องพยายามทำความเข้าใจตรงนี้ให้มาก ลองไปยืนตรงจุดที่คนอื่นเขายืน ว่าเขาเห็นอะไร เขารู้สึกอย่างไร ทำไมเขาต้องรู้สึกแบบนั้น ความปรารถนาดีของเราในจุดยืนของเราถ้าคนอื่นเขาไม่เข้าใจ มันก็ไร้ประโยชน์

“การคิดถึงตัวเองให้น้อยลง ก็คือการเอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างหนึ่งนั่นเอง”