เรื่องราววันนี้อาจจะฟังดูเพ้อเจ้อซักหน่อย มันอาจจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ และสิ่งที่อยู่เหนือคำอธิบายไปซักหน่อย โดยผมจะแตกมันออกเป็น 3 หัวข้อใหญ่ๆ ดังนี้
1. กลับชาติมาเกิด
เรื่องราวการกลับชาติมาเกิดนี้ฟังดูจะเพ้อเจ้อ และไร้ที่มาที่ไป หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะว่ากันโดยเนื้อหาหลักการแล้วก็ไม่ผิด แต่ได้มี ชายคนหนึ่งชื่อ ดร.เอียน สตีเฟนสัน (ลองหาประวัติเขาดู) เขาได้ทำงานวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด โดยพบว่า “มีความเป็นไปได้” ที่คนจะกลับชาติมาเกิด โดยเขาได้ทำตัวอย่างกับผู้คนทั่วโลก มากกว่า 3000 กรณีศึกษา พบว่า เด็กที่เข้าข่ายการระลึกชาติได้ จะมีลักษณะเฉพาะตัว เช่น รอยแผลเป็นแต่กำเนิด อุปนิสัยแต่กำเนิด ที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากผู้ที่เลี้ยงดู ซึ่งมีหนังสือที่ลงตีพิมพ์อยู่หลายเล่มเกี่ยวกับการระลึกชาติได้ของเด็กเหล่านี้ กรณีที่พบบ่อยที่สุด คือการที่เด็ก จำเรื่องของชาติที่แล้วได้ โดยปกติเด็กจะเริ่มเล่าเรื่องเมื่ออายุ 2-4 ขวบ และจะเริ่มลืมเลือนไปช้าๆ เมื่ออายุ 4-7 ขวบ แต่ก็มีข้อยกเว้น เด็กบางคนยังจำได้ดี แต่ไม่พูดออกมาเนื่องจากเหตุผลบางประการ ในบ้านเรา ดร.เอียนก็เคยมาสัมภาษเหมือนกัน ทีวีหลายช่องก็เคยนำเสนอเรื่องเกี่ยวการระลึกชาติได้ อาทิ ตีสิบ (ลองไปหากันดู) ลักษณะของการระลึกชาติ จะมีแนวทางเดียวกันคือ เหมือนเป็นคนมีสองบุคคลิก รู้สึกพ่อแม่ที่ให้กำเนิดไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของตน มีการจดจำพ่อแม่ในอดีตได้ จำสิ่งของเครื่องใช้และเหตุการณ์ในอดีตได้ ว่าตัวเองเคยเห็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ซึ่งวิทยาศาสตร์ก็อธิบายตรงนี้ไม่ได้ ทำให้ผมคิดต่อไปว่า แล้วทำไมคนเราถึงมีความจำในอดีตก่อนความตายได้ ทั้งๆที่มันก็น่าจะสลายไปพร้อมกับเถ้าถ่านแล้ว หรือ ความจำมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในเซลล์สมอง อย่างนั้นหรือ?
2. ฐานข้อมูลความจำโลก
ฟังดูเพ้อเจ้อ แต่มนุษย์เราอาจจะมี Cloud Computing มาก่อนที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้แล้ว เพราะเหตุใดผมจึงกล่าวเช่นนั้น? เพราะหากมีคนที่สามารถระลึกชาติได้ มีความจำดี สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตชาติได้ นั่นหมายความว่า สมองของมนุษย์ ก็เหมือนกับ CPU ที่มีไว้สำหรับการประมวลผลเท่านั้น ส่วนความจำของมนุษย์เราอาจจะมี Cloud ที่ไหนเก็บไว้ซึกที่ ที่เรามองไม่เห็น และไม่รู้ด้วยว่ามันอยู่ที่ไหน เหตุผลที่ผมพูดถึง Cloud เพราะว่ายุคนี้อะไรก็เก็บและสามารถทำงานได้บน Cloud หมดแล้ว (ขอไม่อธิบายความหมายของ Cloud Computing นะครับ) พอมนุษย์เราถูกประกอบขึ้นในครรภ์ โดยมีเชื้ออสุจิ วิงไปเจาะไข่ ซึ่งสิ่งนี้มันถูกโปรแกรมไว้แล้วแต่ต้น ว่าตัวไหนจะ Match กัน หลังจากการปฏิสนธิแล้ว กระบวนการ Boot ระบบโครงสร้างมนุษย์ก็เริ่มต้นขึ้น เริ่มจากการแบ่งเซลล์ ซึ่งที่่มาของเซลล์ก็มีส่วนที่แยกออกมาเป็นแขน เป็นขา เป็นส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งกระบวนการนี้มันถูกบันทึกหน่วยความจำ และคุณลักษณะเฉพาะไว้แล้วใน Gene ตัวยีนนี้เองก็จะมีส่วนที่ใช้ติดต่อกับ Cloud เพื่อโหลดข้อมูลมาติดตั้ง ให้เรามีรูปร่างหน้าตาแบบไหน อย่างไร จากนั้นเมื่อ Process ไปจนครบ 9 เดือน ก็จะถึงเวลาที่ต้อง Start ระบบมนุษย์ให้เริ่มทำงาน โปรแกรมก็จะดีดตัวออกจากครรภ์มารดา เพื่อทำงานใน Process ต่อไป โดยเด็กที่เกิดใหม่ ที่คนบอกว่าเหมือนผ้าขาว จริงๆแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ประสีประสา แต่เป็นเพราะกระบวนการทำงานมันยังไม่สมบูรณ์ เราต้องติดตั้ง Software เพิ่มเข้าไป สร้างเงื่อนไขเข้าไป โดยส่วนหนึ่งก็จะมีการโหลดข้อมูลความจำ เข้ามาเรื่อยๆ อะไรที่เป็นความจำใหม่ มันก็จะเขียนทับความจำเก่านั้นไป โดยเด็กที่ ดร.เอียนพบว่าเขาสามารถเล่าเรื่องราวการระลึกชาติได้นั้น จะอยู่ที่อายุ 2-4 ขวบเสียส่วนมาก มันก็สอดรับว่า เมื่อเด็กมีพัฒธนาการสูงขึ้น ทำให้หน่วยความจำที่มีต้องเติมความจำใหม่เข้าไป ทำให้ไม่สามารถประติดประต่อเรื่องราวในอดีตได้ในที่สุด
การสื่อสารระหว่างสมองกับหน่วยความจำนั้น อาจจะผ่านทางคลื่นสมอง ซึ่งการทำงานของสมองนั้นจะมีสื่อนำประสาท และอาจจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านำข้อมูลเข้าออกอยู่ตลอดเวลา สังเกตุอาการหลงๆ ลืมๆ อาจจะเกิดจาก interrupt มาขัดขวาง โดยผมสังเกตอาการของสมองได้ดังตัวอย่างนี้
- อาการหลงลืม เกิดจากการส่งข้อมูลความจำมาสู่สมองถูกขัดขวาง หรือมีอุปสรรค ทำให้ข้อมูลความจำทีได้ ไม่ต่อเนื่อง อาทิ เรานึกถึงสิ่งหนึ่งอยู่ และความจำส่วนนี้จะหายไปชั่วขณะ ที่คนพูดกันว่า “มันติดอยู่ที่ปาก” ทำให้เรานึกไม่ออก ซึ่งอาจจะประกอบกับการทำงานสมองมัน Precess ไม่ทัน
- ความจำสั้น ชั่วขณะก็ลืมแล้ว เป็นเพราะข้อมูลความจำที่ส่งไปนั้น ยังไม่ได้ถูกจัดเก็บอยากเป็นระบบระเบียบ ซึ่งอาจจะเคว้งคว้างอยู่ไหนซักแห่ง แต่เมื่อมีเหตุการณ์คล้ายคลึงกันเพิ่มเติมเข้าไป จะทำให้ความจำส่วนนี้ถูกดึงเข้าไปเก็บด้วย
- ฝัน ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ก็อธิบายความฝันไว้ว่า เป็นการทำงานของสมองขณะหลับ ซึ่งจะเกิดจากการที่เรามีข้อมูลมากมาย ที่ยังไม่ได้ถูกจัดเก็บลงใน Cloud เพียงแต่ RAM เรากำลังถ่ายโอนข้อมูลไปเก็บ แต่บางครั้งก็มีการถ่ายโอนข้อมูลเดิม ที่เคยจัดเก็บมาแล้วเข้ามาใส่สมอง ทำให้เราฝันเป็นตุเป็นตะ ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งโดยมากฝันจะเกิดช่วงก่อนตื่นนอน หรือเริ่ม Start เครื่องใหม่ คล้ายกับการโหลดข้อมูลตอน Boot ระบบปฏิบัติการ ข้อมูลจะถูกโหลดมาและค่อยๆ จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ในช่วงที่จัดเรียงนั้นก็จะมีช่วงที่สมองต้องทำงานเต็มประสิทธิภาพ ทำให้เราเห็นเป็นภาพฝันขึ้นมา ซึ่งความฝันส่วนมากแล้วเราจะจำตอนที่เริ่มต้นไม่ได้ จะเหลือเพียงส่วนท้ายๆ ก่อนที่เราจะตื่น เปิดตาเข้าหน้า Desktop และรอ icon บนหน้าจอมันโหลดจนเสร็จ เราถึงจะพร้อมทำงานได้
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าขณะตื่นหรือหลับ สมองเรามีการรับส่งสัญญาณ ข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่แปลก เมื่ออายุการใช้งานมากขึ้น การทำงานก็จะถดถอยลงไป หรือ ทางการแพทย์เรียกว่าโรคอัลไซเมอร์ เป็นภาวะสมองเสื่อม (โรคหลงๆ ลืมๆที่ชาวบ้านเรียกติดปาก) เป็นเพราะคลื่นสมองต่ำ เราไม่สามารถรับส่งสัญญาณไปยัง Cloud ได้เหมือนวันหนุ่มสาว ที่เครื่องฟิตเปี๊ยะสัญญาณ 4G เต็มสปีดชัดเสียยิ่งกว่าชัด
สำหรับคนที่มีอาการผิดปกติทางสมอง อาทิ คนวิกลจริต เป็นเพราะการจัดเรียงข้อมูลใน Cloud ไม่ถูกต้อง หรือ ถูกแทรกแซง หรือติดไวรัส ทำให้ข้อมูลเสียหาย การรับรู้ผิดพลาดไปหมด ทำให้สมองประมวลผลผิดพลาด มี BUG และ Error Code ต่างๆ ตามมามากมาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่อยู่นั้น จะแสดงออกมาแบบไหน บ้างก็ไม่สามารถดึงข้อมูลได้ ทำให้ Not responding เป็นเวลานานๆ สำหรับคนที่รู้สึกอ่อนล้า เป็นเพราะคลื่นสมองถูกใช้งานอย่างหนัก ใกล้หมดกำลัง หรือ ร้อนจัด ส่วนมากก็จะแนะนำให้พักผ่อน หรือผ่อนคลายสมอง ด้วยการออกไปเที่ยว ไปสถานที่อื่นที่ไม่คุ้นเคย ทำให้สมองได้รับข้อมูลใหม่ๆ มีการใช้ข้อมูลอื่นๆ ที่นอกเหนือจากข้อมูลชุดเดิม ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมี Bad Sector ที่ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลได้ ถ้าเราไม่ Check Disk แล้วก้าวข้ามมันไป ก็ไม่สามารถจะกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ท้ายที่สุด อาจจะต้องเปลี่ยนหน่วยความจำใหม่ หรือ ล้างหน่วยความจำใหม่นั่นเอง
ข้าพเจ้าขอพักความเพ้อเจ้อเรื่องฐานข้อมูลความจำโลกไว้แต่เพียงเท่านี้
3. ศาสนา
เปรียบได้ดั่ง Software จัดการสมองและหน่วยความจำ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น กว่าจะสร้าง Software ขึ้นมาได้ตัวหนึ่งนั้น ต้องใช้เวลา ใช้ความรู้ ที่รวบรวมเข้ามาประกอบกันเป็น ชุดคำสั่ง หรือ โปรแกรมปฏิบัติการ เพื่อให้การทำงานของสมองและการรับส่งสัญญาณเป็นไปด้วยความราบรื่น มีระบบระเบียบ แบบแผนที่ชัดเจน และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชุดคำสั่ง หรือ หน่วยความจำอื่นๆ ซึ่งก็แน่นอนว่า บางศาสนาก็จะมี BUG ที่ยังไม่ได้แก้ไข ทำให้นักพัฒนารุ่นหลังๆ ต้องเขียน patch เพิ่มเติมเข้าไปให้มันทันยุคทันสมัย เพื่อรองรับการใช้งานของผู้คนที่เวียนว่ายตาเกิดกันเป็นวัฐจักร ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับศาสดา หรือ Project Manager ของทุกๆศาสนา ที่คิด Plan การทำงานของระบบเอาไว้ค่อนข้างดี ทำให้ สาวก หรือ Developer ทำงานกันได้ง่ายขึ้น แต่บางครั้งมันก็มีพวก Dev ที่คิดจะดังคนเดียว หรือ ฉกฉวยโปรแกรมไปเปิดบริษัทแข่งกับต้นฉบับ ซึ่งก็สามารถขายได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งในโลกความเป็นจริงมันก็มีให้เห็นกันอยู่แล้ว แค่หลับตาก็นึกออก บ้างก็มีใส้ศึก เข้ามา crack software นั้นไปใช้ในทางที่ผิด ในทางที่สร้างผลเสียให้แก่ศาสดา บ้างก็มีคนคิดระบบใหม่ขึ้นมา แต่ทำงานเป็น spyware คอยเก็บเล็กผสมน้อย หาจุดบกพร่องของ software ที่ใช้งานอยู่ และแนะนำวิธีแก้ไข หรือ หาคำตอบของ BUG ที่เจอ แต่มันกลับเป็นเสียงที่เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน ทำให้หลักการเขาตกไป ไม่สามารถทัดทานกำลังของผู้ใช้ที่ ไม่อยาก migrate ตัว software เพราะเห็นว่าดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ใช้งานมานานจนไม่อยากเปลี่ยน และไม่อยากจะไปเริ่มต้นใหม่
โดย software นี้ก็ไม่ได้มีแค่ตัวโปรแกรมอย่างเดียว ยังมีผู้ใช้ ที่เข้าขั้น Geek เขียนคู่มือใช้งาน เขียนกลเม็ด และลูกเล่นต่างๆ เพิ่มเติมเข้าไป จนเป็นที่นิยม ทำให้ผู้คนติดจนโงหัวไม่ขึ้น ตัวคู่มือก็มีทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฎิบัติ ให้ผู้คนได้ฝึกฝนและใช้งานได้อย่างถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ของศาสดา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง ว่าจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ ใช้ได้ดีแค่ไหน บางคนใช้ไปจนติด Virus ก็มี ซึ่งโดยมาก คนจะเชื่อมั่นใน Software ที่ใช้จนลืมนึกถึงโทษของมันไปเสียแล้ว ไม่ยอมติดตั้ง Anti Virus หรือเปิด Firewall เพื่อกลั่นกรองข้อมูล กลั่นกรองความคิดที่จะเข้าออกสมอง ทำให้เกิดความวุ่นวาย บ้างก็ถูกไวรัสเข้ามาแก้ไขระบบ บ้างก็ถูกโจรกรรมข้อมูล บ้างก็เป็นตัวแพร่กระจายไวรัสไปสู่คนอื่นได้โดยง่าย เฮ้อ พูดแล้วเศร้าใจ ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้แล้วกัน
Cover: http://mashable.com