การเป็นบุคคลสาธารณะนี่มันลำบากจริงๆ

ใครว่าการที่เรามีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคมมันจะดีและสะดวกสบายเสมอไป มันไม่ใช่เลยซักนิด ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งเข้าปากลึกหญ้าก็ยิ่งรก ยิ่งนอนตากแดดมากเท่าไหร่ ผิวก็ไหม้มากขึ้นเท่านั้น นั่นคือความจริงที่เราเห็นอยู่แล้ว มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว การทำงานเป็นคนสาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันเท่ากับว่าเราต้องทิ้ง “ชีวิต” ของเรา ไปทำงานเพื่อคนอื่น หากวันใดต้องการทำตามใจตัวเองขึ้นมา วันนั้นก็จะถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ ลดฐานะทางสังคมลงมาทันที เพราะคนที่มาเป็นบุคคลสาธารณะได้นั้นต้องผ่านด่านอะไรมาเยอะ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาเยอะ ต้องเข้าพบคนนั้นคนนี้ ต้องมีคนที่ไว้ใจได้ ต้องฝากความหวังไว้กับคนที่เราไม่คิดว่าเราจะหวังพึ่งเขาได้ ถ้าไม่จำเป็น

เฮ้อ นี่พูดยังกับการเลือกตั้งยังไงอย่างงั้น การเป็นคนสาธารณะนั้นไม่ใช่ว่าจะมีแค่ผู้ที่เป็นนักการเมือง นักร้อง นักแสดง เดี่ยวนี้อะไรมันก็เปลี่ยนไป ทุกๆ คนเป็นบุคคลสาธารณะได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะเป็น public figure ในทางไหนนั่นเอง

เดี๋ยวนี้ใครมีคลิปตัวเองเด็ดๆ เป็นกระแสสังคม คนเหล่านั้นก็จะกลายเป็น “บุคคลสาธารณะ” ขึ้นมาทันที เป็นแบบอย่างแก่สังคม เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม เป็นขี้ปากของสังคม เป็นที่ชื่นชมของสังคม และเป็นอะไรๆ อีกหลายอย่างที่สังคมนั้นต้องการ และคาดหวังว่าคุณจะเป็น

อย่างกรณีตัวอย่างเรื่องตลกชื่อดังที่ไปรับ Event ของพรรคการเมือง แล้วเกิดประโยคเด็ดดวงว่า

“อยากให้……กลับบ้าน”

จนกลายมาเป็นประเด็นที่ทำให้สังคมเมามันส์ ด่ากันจนขี้ปากเปียก จนต้องไปขุดคุ้ยเอารูปเด็ดๆ มาประจานต่อ เอามาต่อยอด เอามาตีไข่ ตีความ ให้มันส์สะใจในอารมณ์

ให้มันย่อยยับ ให้มันเสื่อม ให้มันสาแก่ใจ ให้มัน… มัน….มัน….. (ดูไปก็ไม่ต่างจากพวกที่มีอาการทางจิต หรือ อาจจะไม่ยอมรับ หรือ อาจจะไม่รู้ตัว)

ทีนี้มาดูความคิดของคนที่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ตรงไหนของตัวเองที่อยู่แล้วมีความสุข ไม่ต้องบ้าไปกับพวกที่มอมเมาตัวเองด้วยข่าวสาร ที่ตอกไข่ใส่สี การที่เป็นบุคคลสาธารณะนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะถูกจับตามอง ไม่ว่าขยับแข้ง ขยับขา แคะขี้มูก เกาไข่ ใส่กางเกง มันจะมีคนคอยจับผิด คอยดูตลอดเวลา จนแทบไม่มีเวลาส่วนตัวให้ได้อยู่กับตัวเองเลย (บางทีมันก็น่ารำคาญเน๊อะ)

ทีนี้เข้าประเด็นของ “ตลกชื่อดัง”

สมมุติผมเป็นตลกคนนั้น ผมรู้ดีว่าผมอยู่ตรงไหนของสังคม ผมมีหน้าที่อะไรต่อสังคม ผมรู้ดี การที่เขาจ้างผมไป และ ผมพูดเพื่อต้องการเอาใจ คนที่เขาจ้าง คนที่เขาเอาเงินให้ผม ผมถามว่า มันผิดหรือไม่? ผมถามว่า คนขายพวงมาลัย ถ้าไม่เดินไปขาย ไม่เดินชูพวงมาลัยให้เขาเห็น หรือไม่มีสัญญาณไฟแดง ผมถามว่าเขาจะขายมาลัยได้หรือไม่?

การที่ผมพูดเอาใจคนจ่ายเงิน ซึ่งเขาอยู่ฝ่าย A คุณที่อยู่ฝ่าย B ก็หาว่าผมเข้าข้าง A เพราะผมไปพูดเอาใจ A ซึ่งฐานะหน้าที่ผมกับ A นั้นคือลูกจ้างกับนายจ้าง หน้าที่ผมคือทำงานของผมให้เสร็จตามเงินที่เขาจ้าง ใช่หรือไม่?

หากผมไปพูดเอาใจฝ่าย B ไปชมผู้นำฝ่าย B คุณคิดว่าผมจะอยู่ฝ่าย B ใช่หรือไม่? และฝ่าย A จะคิดว่าผมเป็นพวก B หรือป่าว?

ถ้าผมไม่ได้อยู่ทั้ง A และ B แต่ผมอยู่ตรงที่ผมอยู่ ไม่ได้ฝักใฝ่ในสิ่งที่พวกคุณเป็น และผมก็ไม่คิดจะเป็นแบบพวกคุณ คุณคิดว่าจะมีใครเขาอยากเป็นแบบพวกคุณ ที่ถ้ามี A ก็ต้องไม่มี B ถ้ามี B ก็ต้องไม่มี A คุณคิดว่า ทำไมโลกเรามันถึงมี พระอาทิตย์ขั้น พระอาทิตย์ตก มีกลางวัน-กลางคืน, มีเกิด-ตาย, สูง-เตี้ย, ฉลาด-โง่,ชาย-หญิง,แข็ง-อ่อน, ร้อน-เย็น

คุณคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้มันเป็นเพราะว่า เราไม่ได้อยากให้เป็น หรือ ไม่ได้อยากให้มีแบบนี้งั้นหรือ คุณเกิดมาแค่นี้ ทำเป็นจะมาคิดการใหญ่ ว่า ถ้ามีร้อนก็ต้องไม่มีเย็น มันเป็นไปไม่ได้ครับ คุณฝืนธรรมชาติที่เป็นไปตามนั้น ไม่ได้!!

อย่ามาฝืนรั้นด้วยความคิด(ตรรกะ)อะไรที่คุณเพิ่งจะคิดมาได้

คุณคือธรรมชาติ และธรรมชาติก็คิอคุณ

ถ้าคุณไม่เข้าใจธรรมชาติ คุณก็ไม่มีวันอยู่อย่างสุขสงบได้ในชีวิตนี้

เจริญๆ